18-21 มิถุนายน 2568

ทิศทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และหนึ่งในผู้ที่จะให้ข้อมูลได้ดีที่สุดก็คือคุณพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ

“อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ในด้านอุปทานนั้นเป็นผลจากการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตเพราะความยากในการจัดส่งจากประเทศต้นทาง ผู้ผลิตรถยนต์ 8 รายในไทยก็ต้องหยุดผลิตชั่วคราวระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563 ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยจะควบคุมได้ค่อนข้างดีแล้ว แต่มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมก็ส่งผลให้สายการผลิตยังมีกำลังต่ำกว่าช่วงก่อนที่จะเกิดการระบาด

ด้านอุปสงค์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะมาตรการกักกันทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว ในเดือนเมษายนประเทศไทยจึงผลิตรถยนต์ได้ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี โดยลดลงถึงร้อยละ 84 และมียอดจำหน่ายในประเทศลดลงร้อยละ 65 แต่นับจากเดือนพฤษภาคมก็มียอดการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะการผ่อนปรนมาตรการกักกัน แม้ว่ายอดรวมในเจ็ดเดือนแรกของปีจะยังคงน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 44 ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ประเมินสถานการณ์ที่อาจตามมาจากการแพร่ระบาดของโควิดไว้ 2 สถานการณ์

สถานการณ์ที่ 1: ถ้าไม่มีการแพร่ระบาดระลอก 2 และตลาดรถยนต์ฟื้นตัวได้เร็ว ประเทศไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ 1,400,000 คันภายในปีนี้ โดยเน้นเพื่อจำหน่ายในประเทศมากกว่าส่งออก

สถานการณ์ที่ 2: เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 ในประเทศ กำลังการผลิตจึงลดเหลือเพียง 1,000,000 คัน โดยสัดส่วนสำหรับการจำหน่ายในประเทศและส่งออกจะเท่ากันคือตลาดละประมาณ 500,000 คัน”

สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงนั้น คุณพิสิฐได้ให้ข้อมูลดังนี้ “ปัจจุบันเรามีผู้ผลิตรถยนต์จำนวน 14 ราย โดยได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนการผลิตรถ xEV 23 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยโครงการผลิตรถ HEV 5 โครงการ โครงการผลิตรถ PHEV 6 โครงการ และ BEV 12 โครงการ นี่จะส่งผลให้ปริมาณรถ xEV จดทะเบียนใหม่ในปี พ.ศ. 2562 มีจำนวน 27,171 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากปี พ.ศ. 2561

ความเห็นในแง่ของความท้าทายและโอกาสของผู้ประกอบการไทย

“พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศและความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เทคโนโลยียานยนต์พัฒนาโดยมุ่งเน้นใน 4 เรื่องหลัก คือยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า” (Electric vehicle: EV) การเชื่อมต่อและยานยนต์อัตโนมัติ (Connected and Automated Vehicle: CAV) รวมทั้งแนวโน้มการใช้งานยานยนต์ของผู้คนจะเปลี่ยนไปสู่การใช้ยานพาหนะร่วมกัน (Shared mobility) มากยิ่งขึ้น หรือที่เรียกรวมว่า A-C-E-S Technology ซึ่งแนวโน้มทั้งสี่นี้จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมมีมูลค่าสูงขึ้น และส่วนประกอบในยานยนต์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์มากขึ้น รวมถึงระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (Electric Powertrain) เห็นได้จากแนวโน้มของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตขึ้นใน 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่มีความแน่นอนเนื่องจากยังไม่ค้นพบวัคซีนที่ป้องกันโรคได้จริง ผู้ผลิตจึงควรยกระดับตนเองให้มีพื้นฐานรองรับเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้น และเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับ New Normal ที่เกี่ยวกับการรักษาสุขอนามัยในรถยนต์ เพื่อไม่เสียโอกาสในการเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต เป็นต้น

ความสำคัญของงานแสดงสินค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ

ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 งานแสดงสินค้ามีส่วนช่วยกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการ เปิดเวทีให้นักอุตสาหกรรมได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึ่งช่วยให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ รวมถึงความสัมพันธ์และการดำเนินการเชิงธุรกิจในอนาคต แต่หลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงักงัน งานแสดงสินค้าอาจช่วยกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ผ่านการเปลี่ยนรูปแบบมาจัดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ชมงานเกิดความเคยชินในการใช้สื่อดังกล่าว และสานต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไปได้”

 

หมายเหตุ!

“ออโตโมทีฟ แมนูแฟกเจอริ่ง” เป็นงานสำหรับการเจรจาธุรกิจ ผู้เข้าชมงานต้องแต่งกายสุภาพ สวมกางเกงขายาว หรือกระโปรง และรองเท้าหุ้มส้นเท่านั้น ไม่อนุญาตเยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปีให้เข้าชมงาน ผู้จัดงานสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าชมงานได้ โดยไม่ต้องแจ้งเหตุผล